ขึ้นบัญชีดำ ลูกค้าจอมเคลม

วินาศภัยตั้งฐานข้อมูลกลาง/รวมหัวห้ามรับประกัน

ประกันรถยนต์ไซส์ใหญ่-กลางร่วม 10 บริษัทงัดมาตรการดัดหลังลูกค้าเคลมเยอะ ซุ่มทำฐานข้อมูลกลาง (อินชัวรันส์ บูโร) ประกันรถยนต์ แลก ข้อมูลลูกค้าค่าสินไหมเกิน 70-80% ระบุหากลูกค้า กลุ่มนี้หนีไปทำบริษัทอื่นเพราะบริษัทเดิมขึ้นเบี้ย ห้ามบริษัทในกลุ่มรับประกันเด็ดขาด มั่นใจค่าสินไหมฮวบ เพิ่มกำไรรับประกัน ขณะที่ลูกค้าระมัดระวังมากขึ้น เผยต่างประเทศใช้วิธีนี้ค่าสินไหมลดอย่างต่ำ 5% เตือน ประกันรถยนต์รับมือต้นทุนเคลมพุ่งตามเงินเฟ้อหลังค่าอะไหล่ขยับราคา แล้ว 5-10% คาดวิกฤติเงินเฟ้อดันต้นทุน เคลมปีนี้เพิ่มนับพันล้านบาท

ค่าสินไหมทดแทนประกันรถยนต์ที่ พุ่งสูงต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะลดลงเป็นปัญหาจุกอก ของบริษัทประกันภัยสาเหตุหนึ่ง เพราะสงครามตัดราคาเบี้ยที่ยังคงแข่งขันกันรุนแรงทำให้เบี้ยที่ได้รับมาไม่ เพียงพอกับค่าสินไหมส่งผลให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งขาดทุนไปตามๆ กัน หลายบริษัทที่แบกรับสภาพขาดทุนไม่ไหวจำเป็นต้องปรับกลุยทธ์หันมาขึ้นค่า เบี้ยประกัน เพื่อลดผล ขาดทุนจากค่าสินไหมทดแทนเพราะหากเบี้ยเพิ่มขึ้น ตัวเลขขาดทุนจะลดลงไปโดยปริยาย แต่การขึ้นเบี้ยทำให้ลูกค้าหนีไปทำกับบริษัทอื่นที่ยอมขายราคาเบี้ยเท่าเดิม หรือต่ำกว่าเพื่อดูดลูกค้าแทน

แหล่งข่าวจากวงการประกันภัย เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า เพื่อแก้ปัญหาข้างต้นบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์ขนาด ใหญ่และขนาดกลางประมาณ 5-10 บริษัทเริ่มมีการพูดคุยกันถึงความร่วมมือในการลดค่าสินไหมทดแทนประกันรถยนต์ ที่เป็นรูปธรรมโดยเห็นตรงกันที่จะจัดทำฐานข้อมูลกลางประกันภัยรถยนต์หรือ อินชัวรันส์ บูโร (Insurance Bureau) ขึ้นมา มีลักษณะคล้ายเครดิต บูโรของธนาคาร

ภายใต้อินชัวรันส์ บูโร กลุ่มบริษัทประกันที่เข้าร่วมโครงการจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่มีสถิติการเรียกร้องค่าสินไหม ทดแทนสูงเกิน 70-80% ระหว่างกันกล่าวคือเมื่อลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งถูกบริษัทที่ทำประกันอยู่ปรับขึ้นเบี้ย และหนีไปทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มบริษัทดังกล่าวบริษัทนั้นๆ ต้องไม่รับประกันลูกค้ากลุ่มนี้

"ปัญหาที่พบในช่วงที่ผ่านมาคือเวลาที่เราขึ้นเบี้ยลูกค้าที่มีเคลมเยอะ ลูกค้าจะหายหนี ไปทำกับบริษัทอื่นที่ยังรับประกันอยู่ ซึ่งนอกจาก จะคิดเบี้ยเท่าเดิมแล้วยังมีส่วนลดเบี้ยประวัติดี (No Claim Bonus) ให้อีกด้วยวนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่แบบนี้ การไปทำกับบริษัทใหม่ลูกค้าไม่มีพฤติกรรมดีขึ้นยังมีเคลมทุกปีอยู่เหมือน เดิม เราเลยมาคุยกันและเห็นว่าวิธีนี้น่าจะดีเริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ก่อน ส่งข้อมูลลูกค้าเข้ามายังฐานข้อมูลกลางหากพบว่าลูกค้าที่มีชื่ออยู่ในกลุ่ม นี้มาสมัครทำประกันเพราะบริษัทเดิมขึ้นเบี้ยบริษัทใหม่ต้องไม่รับลูกค้าราย นี้ ส่วนลูกค้า จะหันไปทำกับบริษัทอื่นที่อยู่นอกกลุ่มก็เรื่องของเขา บริษัทที่รับไปต้องไปเจอเคลมเยอะเหมือนที่เราเคยเจอมา"

แหล่งข่าวกล่าวว่า วิธีนี้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายในแง่บริษัทประกันภัยทำให้อัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ของบริษัทลดลงซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ค่าสินไหมทดแทนของทั้งอุตสาหกรรมลดลงตามไปด้วย

ซึ่งในต่างประเทศจากสถิติที่มีการจัดทำอินชัวรันส์ บูโร ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ที่ มีเคลมสูง ทำให้ Loss Ratio ของบริษัทที่ร่วมโครงการรวมถึงภาคธุรกิจลดลงไปไม่ต่ำกว่า 5% ทำให้ผลประกอบการดี ฐานะการเงินมั่นคงมากขึ้น ขณะที่ลูกค้า เองก็ได้ประโยชน์โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ไม่ต้องพลอยได้รับผลกระทบถูกขึ้นเบี้ยไป ด้วยเป็น การลงโทษลูกค้าที่เคลม โดยตรงทำให้มีความระมัดระวังและมีวินัยในการเคลมมากขึ้น

"เหมือนกับในช่วงที่แบงก์ทดลองทำเครดิต บูโรเพื่อลดปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระยะแรกมีแบงก์เข้าร่วมโครงการไม่กี่ธนาคารแต่หลังจากทดลองทำปรากฏว่าตัว เลข NPL ของแบงก์ที่เข้าร่วมโครงการลดลงธนาคารที่เหลือจึงเข้าร่วมด้วยทำให้ NPL ของระบบธนาคารลดลงไปมาก การจัดทำอินชัวรันส์ เครดิตก็เชื่อว่าคงเหมือนกันซึ่งในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังประกันภัย ประเภทอื่นๆ ด้วย อาทิ ประกันอัคคีภัย ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) เป็นต้น"

แหล่งข่าวกล่าวว่า การลดอัตราค่าสินไหม ทดแทนเป็นเรื่องที่ต้องรีบดำเนินการเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับภาค ธุรกิจ โดยเฉพาะในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่คาดการณ์กันว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงมากแตะ ระดับ 4.5-5% บวกกับราคาน้ำมันที่ยังคงขยับขึ้นต่อเนื่องทำให้ค่าอะไหล่ขยับขึ้นตามไปด้วย คาดว่าน่าจะอีกประ มาณ 10-20% ซึ่งขณะนี้ผู้ผลิตหลายบริษัทชิงขยับราคาขึ้นแล้วประมาณ 5-10% ซึ่งการที่ค่าอะไหล่ขยับขึ้นส่งผลกระทบถึงต้นทุนการเคลมเพิ่มขึ้นด้วยเนื่อง จาก 65% ของต้นทุนการเคลมเป็นค่าอะไหล่

แหล่งข่าวกล่าวว่า เงินเฟ้อเป็นดัชนีชี้วัด Loss Ratio ซึ่งจะมีค่าผันแปรไปตามเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อขยับขึ้น 5% จะทำให้ Loss Ratio ขยับขึ้นไปอีกประมาณ 3% ซึ่งขณะนี้ Loss Ratio เฉลี่ยประกันรถยนต์ภาคสมัครใจอยู่ที่ประมาณ 65% จะเพิ่มเป็น 68% หากบริษัท ใด Loss Ratio สูงเกิน 70% ตัวเลขจะยิ่ง เพิ่มมากกว่านี้เท่ากับต้องแบกภาระขาดทุนเพิ่มขึ้น

"ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อจะยิ่งทำให้บริษัทประกันรถยนต์ขาดทุนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเบี้ยประกันรถยนต์มี ขนาดใหญ่สุดในอุตสาห กรรมประกันวินาศภัยอย่างในปีที่ผ่านมา เบี้ยรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท หัก Loss Ratio 65% หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกคิดง่ายๆ หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแค่ครึ่งเดียวหรือ 2.5% ยอดเคลมจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,000 ล้านบาทและถ้าเพิ่มเป็น 5% เป็น 2,000 ล้านบาทแล้วเฉพาะเงินเฟ้อตัวเดียวต้นทุนการเคลมเพิ่มเป็นหลักพันล้านบาท"

แหล่งข่าวกล่าวว่า เงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้และไม่มีทางเลี่ยง ซึ่งอัตราเงินเฟ้อระดับนี้ถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยรถยนต์ไม่ เคยนำดัชนีเงินเฟ้อมาคิดเป็นต้นทุนเนื่องจากเบี้ยประกันรถยนต์มีอัตราเติบโต สูงมากปีละกว่า 10% แต่ขณะนี้ประกันรถยนต์โตไม่ถึง 5% หลายบริษัทเริ่มตระหนักถึงภาวะต้นทุนที่เป็นผลกระทบจากเงินเฟ้อซึ่งถือเป็น ตัวแปรที่อันตรายมากสำหรับธุรกิจ

อนึ่ง ในการจัดทำฐานข้อมูลกลาง ภาคธุรกิจเคยมีความร่วมมือกันในการจัดทำฐานข้อมูลประกันพีเอเพื่อลดค่าสิน ไหมทดแทนจาก กรณีการฉ้อฉลประกันภัย กำหนดให้บริษัทสมาชิก 44 บริษัทส่งข้อมูลลูกค้าที่ซื้อทุนประกันสูงตั้งแต่ 1 ล้านบาทเข้ามายังฐานข้อมูล กลางเพื่อให้บริษัทสมาชิกประกอบการพิจารณาก่อนรับประกันป้องกันการฉ้อฉลหลัง เกิดคดีดังเสี่ยเจ้าของหอพักที่ใต้มีการเรียกเคลมประกันนิ้วหัวแม่โป้งขาด

ซึ่งมีการทำประกันกับบริษัทไว้ถึง 33 บริษัท วงเงินประกัน 68 ล้านบาท เฉพาะนิ้วขาดได้ค่าสินไหม 25% หรือประมาณ 16 ล้านบาท โดยเคสนี้ทางบริษัทประกันมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นการทุจริตตัดนิ้วตัวเอง เพื่อหวังเงินประกัน

ซึ่งการจัดทำฐานข้อมูลกลางประกันพีเอไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากบริษัท สมาชิกมากนักเพราะกลัวข้อมูลรั่วไหล เสียฐานลูกค้าให้กับบริษัทอื่น