ประกันภัยศรีเมืองเบี้ยวูบ7%

ประกันภัยศรีเมืองอ่วมเบี้ยครึ่งปีแรกลดฮวบ 7% รายได้หลักจากเบี้ยมารีน รถยนต์ ทรุดตามภาวะเศรษฐกิจ

นายโยอิจิ ทามากาคิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประกันภัยศรีเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็น ผลมาจากเบี้ยประกันภัยจากการ รับประกันภัยทางทะเลและขนส่งหรือมารีนปรับตัวลดลงถึง 40% และเบี้ยประกันภัยรถยนต์ลดลง 30% แต่หากดูผลกำไรยังไม่ได้ลดลงมากนัก ยังคงมีตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2551

สำหรับปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 13% เบี้ยประกันภัยทางรถยนต์ 54% เบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 13% ส่วนนี้ไม่มีการเติบโต และเบี้ยประกันอัคคีภัย 20% ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 10%

ยอดผลิตรถยนต์ในครึ่งปีแรก ที่ติดลบไป 46% ก็ส่งผลให้ลูกค้า เราที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจนี้ ต้องเผชิญภาวะหนัก และเมื่อลูกค้าไม่ดีเราก็ไม่ดีตามไปด้วย อย่างมารีนหรือประกันภัยรถยนต์ก็ตกลงไปตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ติดลบไป ถึง 30% เช่นกัน ซึ่งเราก็คงทำอะไรกว่านี้ไม่ได้ เพราะลูกค้าเราได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก นายโยอิจิ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ก็คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยทำให้ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นบ้าง และคาดว่าผลประกอบการตลอดปีนี้คงมียอดขายติดลบไม่เกิน 10% โดยในส่วนของผลกำไรนั้นแม้จะ ไม่ได้ปรับลดลงเหมือนกับยอดขาย แต่ก็คาดว่าคงไม่ได้มีกำไรเท่ากับปี 2551 ที่ได้กำไร 448 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยอดขายรถยนต์จะเริ่ม ดีขึ้น เนื่องจากแต่ละค่ายรถยนต์ก็ นำรถยนต์รุ่นใหม่หรือปรับปรุงใหม่ออกมากระตุ้นตลาด ทำให้ยอดขายและยอดผลิตดีขึ้น และคงส่งผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์ของบริษัทด้วย

สำหรับเบี้ยประกันภัยมารีนนั้น จะดีขึ้นหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยจากต่างประเทศที่ต้องมีการ สั่งซื้อสินค้าจากไทยด้วย ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ทราบแนวโน้มที่ชัดเจนของแต่ละประเทศว่ามีการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ยังคาดหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้เบี้ยประกันภัยมารีนทางทะเลจะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสร้างยี่ห้อของบริษัทแม่จากกลุ่ม โตเกียว มารีนทั่วโลก ทำให้ตั้งแต่เดือนม.ค. ปี 2553 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย เพื่อ ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นสากลของกลุ่ม เช่นเดียวกับประเทศอื่น ทั่วโลก โดยการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานและนโยบายของบริษัท แต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันจะยิ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากขึ้น